วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559




  • วันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

  • บันทึกการเรียน ครั้งที่ 5
    Knowledge

    
             ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
    เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้

    (Children with Learning Disabilities)

    - เรียกย่อ ๆ ว่า L.D. (Learning Disability) 
    - เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้เฉพาะอย่าง 
    - ไม่นับรวมเด็กที่มีปัญหาเพียงเล็กน้อยทางการเรียน เด็กที่มีปัญหาเนื่องจากความพิการ หรือความบกพร่องทางร่างกาย
    สาเหตุของ LD
    - ความผิดปกติของการทำงานของสมองที่ไม่สามารถถอดรหัสตัวอักษรออกมาได้ (เชื่อมโยงภาพตัวอักษรเข้ากับเสียงไม่ได้)  
    - กรรมพันธุ์ 
    1.  ด้านการอ่าน 

    (Reading Disorder)

    - หนังสือช้า ต้องสะกดทีละคำ 
    - อ่านออกเสียงไม่ชัด ออกเสียงผิด หรืออาจข้ามคำที่อ่านไม่ได้ไปเลย 
    - ไม่เข้าใจเนื้อหาที่อ่าน หรือจับใจความสำคัญไม่ได้ 
    ลักษณะของเด็ก LD  
    ด้านการอ่าน 
    - อ่านช้า อ่านคำต่อคำ ต้องสะกดคำจึงจะอ่านได้ 
    - อ่านออกเสียงไม่ชัดเจน 
    - เดาคำเวลาอ่าน 
    - อ่านข้าม อ่านเพิ่มคำ อ่านผิดประโยคหรือผิดตำแหน่ง 
    - อ่านโดยไม่เน้นคำ หรือเน้นข้อความบางตอน 
    - ผันเสียงวรรณยุกต์ไม่ได้ 
    - ไม่รู้ความหมายของเรื่องที่อ่าน 
    - เล่าเรื่องที่อ่านไม่ได้ จับใจความสำคัญไม่ได้ 
    2. ด้านการเขียน

    (Writing Disorder) 
    - เขียนตัวหนังสือผิด สับสนเรื่องการม้วนหัวอักษร เช่น จาก ม เป็น น หรือจาก ภ เป็น ถ เป็นต้น  
    - เขียนตามการออกเสียง เช่น ประเภท เขียนเป็น ประเพด  
    - เขียนสลับ เช่น สถิติ เขียนเป็น สติถิ 
    ลักษณะของเด็ก LD ด้านการเขียน

    - ลากเส้นวนๆ ไม่รู้ว่าจะม้วนหัวเข้าในหรือออกนอก ขีดวนๆ ซ้ำๆ  
    - เรียงลำดับอักษรผิด เช่น สถิติ เป็น สติถิ 
    - เขียนพยัญชนะหรือตัวเลขสลับกัน เช่น ม-นภ-ถด-คพ-ผ, b-d, p-q, 6-9 
    - เขียนพยัญชนะ ก-ฮ ไม่ได้ แต่บอกให้เขียนเป็นตัวๆได้ 
    - เขียนพยัญชนะ หรือ ตัวเลขกลับด้าน คล้ายมองจากกระจกเงา 
    - เขียนคำตามตัวสะกด เช่น เกษตร เป็น กะเสด

    ลักษณะของเด็ก LD ด้านการเขียน (ต่อ)

    - จับดินสอหรือปากกาแน่นมาก 
    - สะกดคำผิด โดยเฉพาะคำพ้องเสียง ตัวสะกดแม่เดียวกัน ตัวการันต์ 
    - เขียนหนังสือช้าเพราะกลัวสะกดผิด 
    - เขียนไม่ตรงบรรทัด ขนาดตัวอักษรไม่เท่ากัน ไม่เว้นขอบ ไม่เว้นช่องไฟ 
    - ลบบ่อยๆ เขียนทับคำเดิมหลายครั้ง

    3. ด้านการคิดคำนวณ 

    (Mathematic Disorder)

    - ตัวเลขผิดลำดับ 
    - ไม่เข้าใจเรื่องการทดเลขหรือการยืมเลขเวลาทำการบวกหรือลบ 
    - ไม่เข้าหลักเลขหน่วย สิบ ร้อย
    - แก้โจทย์ปัญหาเลขไม่ได้

    ลักษณะของเด็ก LD ด้านการคำนวณ

    - ไม่เข้าใจค่าของตัวเลขเช่นหลักหน่วยสิบร้อยพันหมื่นเป็นเท่าใด 
    - นับเลขไปข้างหน้าหรือถอยหลังไม่ได้ 
    - คำนวณบวกลบคูณหารโดยการนับนิ้ว 
    - จำสูตรคูณไม่ได้ 
    - เขียนเลขกลับกันเช่น13เป็น31 
    - ทดไม่เป็นหรือยืมไม่เป็น 
    - ตีโจทย์เลขไม่ออก 
    - คำนวณเลขจากซ้ายไปขวาแทนที่จะทำจากขวาไปซ้าย 
    - ไม่เข้าใจเรื่องเวลา
    4. หลายๆ ด้านร่วมกัน

    อาการที่มักเกิดร่วมกับ LD

    - แยกแยะขนาดสีและรูปร่างไม่ออก 
    - มีปัญหาความเข้าใจเกี่ยวกับเวลา 
    - เขียน/อ่านตัวอักษรสลับซ้าย-ขวา 
    - งุ่มง่ามการประสานงานของกล้ามเนื้อไม่ดี 
    - การประสานงานของสายตา-กล้ามเนื้อไม่ดี 
    - สมาธิไม่ดี (เด็ก LD ร้อยละ 15-20 มีสมาธิสั้น ADHD ร่วมด้วย) 
    - เขียนตามแบบไม่ค่อยได้ 
    - ทำงานช้า
    อาการที่มักเกิดร่วมกับ LD (ต่อ)

    - การวางแผนงานและจัดระบบไม่ดี 
    - ฟังคำสั่งสับสน 
    - คิดแบบนามธรรมหรือคิดแก้ปัญหาไม่ค่อยดี 
    - ความคิดสับสนไม่เป็นขั้นตอน 
    - ความจำระยะสั้น/ยาวไม่ดี 
    - ถนัดซ้ายหรือถนัดทั้งซ้ายและขวา 
    - ทำงานสับสนไม่เป็นขั้นตอน

    7. ออทิสติก (Autistic)    

    - หรือ ออทิซึ่ม (Autism) 
    - เด็กที่ไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น 
    - ไม่สามารถเข้าใจคำพูด ความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่น 
    - ไม่สามารถที่จะสื่อสารกับคนรอบข้างและสังคม 
    - เด็กออทิสติกแต่ละคนจะมีเอกลักษณ์ของตนเอง 

    - ติดตัวเด็กไปตลอดชีวิต
    "ไม่สบตา ไม่พาที ไม่ชี้นิ้ว" 

    - ทักษะภาษา 
    - ทักษะทางสังคม 
    - ทักษะการเคลื่อนไหว 
    - ทักษะการรับรู้เกี่ยวกับรูปทรง ขนาดและพื้นที่
    ลักษณะของเด็กออทิสติก

    - อยู่ในโลกของตนเอง 
    - ไม่เข้าไปหาใครเพื่อให้ปลอบใจ 
    - ไม่เข้าไปเล่นในกลุ่มเพื่อน 
     - ไม่ยอมพูด 
    - เคลื่อนไหวแบบซ้ำๆ

    เกณฑ์การวินิจฉัยออทิสติก

            องค์การอนามัยโลกและสมาคมจิตแพทย์อเมริกา 
    ความผิดปกติของปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอย่างน้อย 2 ข้อ

    - ไม่สามารถใช้ภาษาท่าทางสื่อสารทางสังคมกับบุคคลอื่น 
    - ไม่สามารถสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลให้เหมาะสมตามวัย 
    - ขาดความสามารถในการแสวงหาการมีกิจกรรม ความสนใจ และความสนุก สนานร่วมกับผู้อื่น 
    - ขาดทักษะการสื่อสารทางสังคมและทางอารมณ์กับบุคคลอื่น

    ความผิดปกติด้านการสื่อสารอย่างน้อย 1 ข้อ

    - มีความล่าช้าหรือไม่มีการพัฒนาในด้านภาษาพูด 
    - ในรายที่สามารถพูดได้แล้วแต่ไม่สามารถที่จะเริ่มต้นบทสนทนาหรือโต้ตอบบทสนทนากับผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม 
    - พูดซ้ำๆ หรือมีรูปแบบจำกัดในการใช้ภาษา เพื่อสื่อสารหรือส่งเสียงไม่เป็นภาษาอย่างไม่เหมาะสม 
    - ไม่สามารถเล่นสมมุติหรือเล่นลอกตามจินตนาการได้เหมาะสมกับระดับพัฒนาการ

    มีพฤติกรรม ความสนใจ และกิจกรรมที่ซ้ำๆ และจำกัด

    อย่างน้อย 1 ข้อ

    - มีความสนใจที่ซ้ำๆ อย่างผิดปกติ 
    - มีกิจวัตรประจำวันหรือกฎเกณฑ์ที่ต้องทำโดยไม่สามารถยืดหยุ่นได้ ถึงแม้ว่ากิจวัตรหรือกฎเกณฑ์นั้นจะไม่มีประโยชน์ 
    - มีการเคลื่อนไหวร่างกายซ้ำๆ 
    - สนใจเพียงบางส่วนของวัตถุ

    พฤติกรมการทำซ้ำ

    - นั่งเคาะโต๊ะ หรือโบกมือนานเป็นชั่วโมง 
    - นั่งโยกหน้าโยกหลังเป็นเวลานาน 
    - วิ่งเข้าห้องนี้ไปห้องโน้น 
    - ไม่ยอมให้เปลี่ยนสิ่งแวดล้อม

    พบความผิดปกติอย่างน้อย 1 ด้าน

    (ก่อนอายุ 3 ขวบ)

    - ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม 
    - การใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมาย 
    - การเล่นสมมติหรือการเล่นตามจินตนาการ

    Autistic Savant

    - กลุ่มที่คิดด้วยภาพ (visual thinker)          
       จะใช้การการคิดแบบอุปนัย (bottom up thinking) 
    - กลุ่มที่คิดโดยไม่ใช้ภาพ (music, math and memory thinker)
                             จะใช้การคิดแบบนิรนัย (top down thinking) 
    Apply :  เป็นความรู้ที่สามารถนำไปปรับใช้ในการสังเกต ลักษณะอาการของเด็ก รวมถึงเป็นแนวทางในการหาวิธีแก้ปัญหาในการรับมีกับเด็กแต่ละประเภท 
    Evaluation
    Teacher : อาจารย์มารอสอนก่อนเวลา และเตรียมเอกสาร ในการสอนได้ดี สอนเข้าใจง่าย อธิบายหัวเนื้อหาและยกตัวอย่างได้ชัดเจน 
    Feachet : เพื่อนมาเรียนตรงเวลา และมีบางคนที่มาสาย มีคุยกับบ้างคนแต่ส่วนใหญ่ตั้งใจเรียน  
    Self : ยังไม่ค่อยมีสมาธิในการเรียน ในช่วงเวลาเริ่มแรกของชั่วโมงเรียน แต่พอเรียนไปสักพักมีสมาธิในการเรียนมากขึ้น

    วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559





  • วันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

  • บันทึกการเรียน ครั้งที่ 4
    Knowledge



    ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ

      4. เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา 

      (Children with Speech and Language Disorders )


    เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูด   หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องซึ่งเกิดจากการพูดผิดปกติ ในด้านความชัดเจนในการปรับปรุงแต่งระดับและคุณภาพของเสียง จังหวะและขั้นตอนของเสียงพูด

    ความบกพร่องในด้านการปรุงเสียง (Articulator Disorders)
         เสียงบางส่วนของคำขาดหายไป "ความ" เป็น "คาม"
         ออกเสียงของตัวอื่นแทนตัวที่ถูกต้อง "กิน" "จิน"  กวาด ฟาด
         เพิ่มเสียงที่ไม่ใช่เสียงที่ถูกต้องลงไปด้วย "หกล้ม" เป็น "หก-กะ-ล้ม"
         เสียงเพี้ยนหรือแปล่ง "แล้ว" เป็น "แล่ว"

    ความบกพร่องของจังหวะและขั้นตอนของเสียงพูด (speech Flow Disorders)
        พูดไม่ถูกตามลำดับขั้นตอน ไม่เป็นไปตามโครงสร้างของภาษา
        การเว้นวรรคตอนไม่ถูกต้อง
         ตราการพูดเร็วหรือช้าเกินไป
         จังหวะของเสียงพูดผิดปกติ
          เสียงพูดขาดความต่อเนื่อง สละสลวย

    ความบกพร่องของเสียงพูด 

    (Voice Disorders)
          ความบกพร่องของระดับเสียง
          เสียงดังหรือค่อยเกินไป
          คุณภาพของเสียงไม่ดี

    ความบกพร่องทางภาษา หมายถึง การขาดความสามารถที่จะเข้าใจความหมาย ของคำพูด และ/หรือไม่สามารถแสดงความคิดออกมาเป็นถ้อยคำได้

    การพัฒนาการทางภาษาช้ากว่าวัย 

    (Delayed Language) 
          มีความยากลำบากในการใช้ภาษา
          มีความผิดปกติของไวยากรณ์และโครงสร้างของประโยค
          ไม่สามารถสร้างประโยคได้
           มีความบกพร่องทางเชาว์ปัญญา อารมณ์ สมองผิดปกติ
          ภาษาที่ใช้เป็นภาษาห้วน ๆ

    2. ความผิดปกติทางการพูดและภาษาอันเนื่องมาจากพยาธิสภาพที่สมอง โดยทั่วไปเรียกว่า

    Dysphasia หรือ aphasia
          อ่านไม่ออก (alexia)
          เขียนไม่ได้ (agraphia)
          สะกดคำไม่ได้
          ใช้ภาษาสับสนยุ่งเหยิง
          จำคำหรือประโยคไม่ได้
         ไม่เข้าใจคำสั่ง
          พูดตามหรือบอกชื่อสิ่งของไม่ได้

    Gerstmann’s syndrome
           ไม่รู้ชื่อนิ้ว (finger agnosia)
           ไม่รู้ซ้ายขวา (allochiria)
           คำนวณไม่ได้ (acalculia)
           เขียนไม่ได้ (agraphia)
           อ่านไม่ออก (alexia)

    ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการพูดและภาษา
          ในวัยทารกมักเงียบผิดธรรมชาติ ร้องไห้เบา ๆ และอ่อนแรง
          ไม่อ้อแอ้ภายในอายุ 10 เดือน
          ไม่พูดภายในอายุ 2 ขวบ
           หลัง 3 ขวบแล้วภาษาพูดของเด็กก็ยังฟังเข้าใจยาก
           ออกเสียงตัวสะกดไม่ได้
           หลัง 5 ขวบ เด็กยังคงใช้ภาษาที่เป็นประโยคไม่สมบูรณ์ในระดับประถมศึกษา
           มีปัญหาในการสื่อความหมาย พูดตะกุกตะกัก
           ใช้ท่าทางในการสื่อความหมาย

    5. เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ (Children with Physical and Health Impairments)

          เด็กที่มีอวัยวะไม่สมส่วน
          อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งหายไป
          เจ็บป่วยเรื้อรังรุนแรง
          มีปัญหาทางระบบประสาท
          มีความลำบากในการเคลื่อนไหว

    โรคลมชัก (Epilepsy)
          เป็นลักษณะอาการที่เกิดเนื่องมาจากความผิดปกติของระบบสมอง
          มีกระแสไฟฟ้าที่ผิดปกติและมากเกินปล่อยออกมาจากเซลล์สมองพร้อมกัน

    1.การชักในช่วงเวลาสั้น ๆ (Petit Mal)
         อาการเหม่อนิ่งเป็นเวลา 5-10วินาที
         มีการกระพริบตาหรืออาจมีเคี้ยวปาก
         เมื่อเกิดอาการชักเด็กจะหยุดชะงักในท่าก่อนชัก
         เด็กจะนั่งเฉย หรือเด็กอาจจะตัวสั่นเล็กน้อย

    2.การชักแบบรุนแรง (Grand Mal)
         เมื่อเกิดอาการชัก เด็กจะส่งเสียง หมดความรู้สึก ล้มลง กล้ามเนื้อเกร็ง เกิดขึ้นราว 2-5 นาที จากนั้นจะหาย และนอนหลับไปชั่วครู

    3.อาการชักแบบ Partial Complex
          มีอาการประมาณไม่เกิน 3 นาที
          เหม่อนิ่ง 
          เหมือนรู้สึกตัวแต่ไม่รับรู้และไม่ตอบสนองต่อคำพูด
                        หลังชักอาจจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ และต้องการนอนพัก

    4.อาการไม่รู้สึกตัว (Focal Partial)
           เป็นอาการที่เกิดขึ้นในระยะสั้น เด็กไม่รู้สึกตัว อาจทำอะไรบางอย่างโดยที่ตัวเองไม่รู้ เช่น ร้องเพลง ดึงเสื้อผ้า เดินเหม่อลอย แต่ไม่มีอาการชัก

    5.ลมบ้าหมู (Grand Mal)
         เมื่อเกิดอาการชักจะทำให้หมดสติ และหมดความรู้สึกในขณะชักกล้ามเนื้อเกร็งหรือแขนขากระตุก กัดฟัน กัดลิ้น



    การปฐมพยาบาลขั้นพื้นฐาน ในกรณีเด็กมีอาการชัก
         จับเด็กนอนตะแคงขวาบนพื้นราบที่ไม่มีของแข็ง
         ไม่จับยึดตัวเด็กขณะชัก
         หาหมอนหรือสิ่งนุ่มๆรองศีรษะ
         ดูดน้ำลาย เสมหะ เศษอาหารออกจาปาก เพื่อให้ทางเดินหายใจโล่ง
         จัดเสื้อผ้าเด็กให้หลวม
         ห้ามนำวัตถุใดๆใส่ในปาก
         ทำการช่วยหายใจโดยวิธีการเป่าปากหากเด็กหยุดหายใจ

    ซี.พี.(Cerebral Palsy)



          การเป็นอัมพาตเนื่องจากระบบประสาทสมองพิการ หรือเป็นผลมาจากสมองที่กำลังพัฒนาถูกทำลายก่อนคลอด ระหว่างคลอด หรือหลังคลอด
          การเคลื่อนไหว การพูด พัฒนาการล่าช้า เด็กซีพี มีความบกพร่องที่เกิดจากส่วนต่าง ๆ ของสมองแตกต่างกัน

    1.กลุ่มแข็งเกร็ง (spastic)
          spastic hemiplegia อัมพาตครึ่งซีก
          spastic diplegia อัมพาตครึ่งท่อนบน
          spastic paraplegia อัมพาตครึ่งท่อนล่าง
          spastic quadriplegia อัมพาตทั้งตัว

    2.กลุ่มที่มีการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเอง (athetoid , ataxia)

         athetoid อาการขยุกขยิกช้า ๆ หรือเคลื่อนไหวเร็วๆที่เท้า แขน มือ หรือที่ใบหน้าของ เด็กบางรายอาจมีคอเอียง ปากเบี้ยวร่วมด้วย

         ataxia มีความผิดปกติในการทรงตัวของร่างกาย กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน

    3. กลุ่มอาการแบบผสม (Mixed)
    กล้ามเนื้ออ่อนแรง (Muscular Distrophy)
         เกิดจากเส้นประสาทสมองที่ควบคุมกล้ามเนื้อส่วนนั้น ๆ เสื่อมสลายตัว
         เดินไม่ได้ นั่งไม่ได้ นอนอยู่กับที่
         จะมีความพิการซ้อนในระยะหลัง คือ ความจำแย่ลง สติปัญญาเสื่อม

    โรคทางระบบกระดูกกล้ามเนื้อ (Orthopedic)
         ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการแต่กำเนิด เช่น เท้าปุก (Club Foot) กระดูกข้อสะโพกเคลื่อน อัมพาตครึ่งท่อนเนื่องจากกระดูกไขสันหลังส่วนล่างไม่ติด (Spina Bifida)
          ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการด้วยโรคติดเชื้อ (Infection) เช่น วัณโรค กระดูกหลังโกง กระดูกผุ เป็นแผลเรื้อรังมีหนอง เศษกระดูกผุ
         กระดูกหัก ข้อเคลื่อน ข้ออักเสบ

    โปลิโอ (Poliomyelitis)
         มีอาการกล้ามเนื้อลีบเล็ก แต่ไม่มีผลกระทบต่อสติปัญญา
         ยืนไม่ได้ หรืออาจปรับสภาพให้ยืนเดินได้ด้วยอุปกรณ์เสริ
         โรคระบบทางเดินหายใจ

    โรคเบาหวาน (Diabetes mellitus )  
    โรคหัวใจ (Cardiac Conditions)  
    โรคมะเร็ง (Cancer)  
    เลือดไหลไม่หยุด (Hemophilia)
    แขนขาด้วนแต่กำเนิด (Limb Deficiency)
    ลักษณะของเด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
          มีปัญหาเกี่ยวกับการทรงตัว
          ท่าเดินคล้ายกรรไกร
          เดินขากะเผลก หรืออึดอาดเชื่องช้า
          ไอเสียงแห้งบ่อย ๆ
          มักบ่นเจ็บหน้าอก บ่นปวดหลัง
          หน้าแดงง่าย มีสีเขียวจางบนแก้ม ริมฝีปากหรือปลายนิ้ว
          หกล้มบ่อย ๆ
          หิวและกระหายน้าอย่างเกินกว่าเหตุ

    Apply : นำไปปรับใช้ในการเรียนการสอนและการดูแลส่งเสริมพัฒนาการเด็ก โดยการนำไปปรับใช้ให้เหมาะกับเด็กแต่ละคน
    Evaluation
    Teacher : แต่งกายสุภาพ พูดจาสุภาพ สอนเข้าใจง่าย มีการอธิบายยกตัวอย่างได้ดี
    Feachet : ให้ความร่วมมือในการเรียนได้ดี มีส่วนร่วมในเวลาเรียน แต่งกายเรียบร้อย

    Self : แต่งการเรียบร้อย ขาดสมาธิในการเรียนช่วงท้ายชั่วโมง